ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Service

อังคาร ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓ คน ทำงานในกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการป้องกันชาติ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก ทัพเรือ หรือทัพอากาศ ถ้าเป็นผู้ชาย เราเรียกว่า a serviceman ถ้าเป็นผู้หญิง เราเรียกว่า a servicewoman เขียนติดกันนะครับ ไม่มีช่องว่างระหว่าง service และ man หรือ woman ที่ยกเรื่องนี้มาเขียน ก็เพราะผมเจอข้าราชการไทยท่านหนึ่ง เขียนรายงานโดยใช้ servicewoman ว่าหมายถึง ‘หญิงบริการ’ หรือ’โสเภณี’ ซึ่งไม่ใช่นะครับ ในระหว่างการสู้รบในสงคราม หรือ fighting in a war ภาษาอังกฤษมีวลี on active service ผมอธิบายให้หน่วยข่าวกรองของฝรั่งฟังว่า Pol. 2Lt. Somjet Sook-Khun-Yuam was the first member of my BPP batch to die while on active service. ร้อยตำรวจตรี สมเจตน์ สุขขุนยวม เป็นสมาชิกคนแรกของตำรวจตระเวนชายแดนรุ่นผมที่ตายในระหว่างสู้รบในสงคราม เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือสำเร็จ Form 6 ที่ St. Arnaud High School มีหลายหน่วยงานมาแนะแนวการศึกษา ผมเข้าไปในห้องแนะแนว เจอหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ที่หน้าปกว่า A Career in the Services หนังสือเล่มนี้หมายความถึง อาชีพในเห
โพสต์ล่าสุด

Stillborn/ born/ borne/ truly

เสาร์ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ทารกที่ถือกำเนิดเกิดมาดูโลก ออกมาจากท้องแม่ก็ถึงแก่กรรม คำคุณศัพท์ที่อธิบายความหมายของคลอดตาย ก็คือ stillborn จอห์นเล่าความหลังครั้งเก่าของตนให้ผมและคณะฟังว่า Our first child was stillborn. บุตรคนแรกของเราคลอดตายครับ คำ นี้เมื่อเอามาใช้กับเหตุการณ์ ความคิด ภารกิจ ฯลฯ ก็จะให้ความหมายไปในทาง เหตุการณ์ ความคิด ภารกิจ ฯลฯ นั้น ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เกิดขึ้น His idea of making money in Africa was stillborn. I didn’t happen. It’s unsuccessful. ความคิดในการเข้าไปทำเงินในทวีปแอฟริกาของเขานั้นไม่ได้เกิดขึ้น Born บอน กับ borne โบน แตกต่างกันตรงไหนครับ? ต่างกันตรงที่ born หมายถึง ที่เกิดมา He was a born teacher. ท่านเกิดมาเพื่อเป็นครู แต่ borne หมายถึง ที่เกิดและแพร่ได้ ไม่ว่าจะแพร่ทางน้ำ หรือทางอากาศ เราจึงได้ยินกันบ่อยๆ ถึง water-borne diseases โรคที่เกิดและแพร่ทางน้ำ หรือ air-borne pollution มลพิษที่เกิดและแพร่ทางอากาศ ผู้อ่านท่านหนึ่งถามมาว่า truly ใช้เมื่อใด? ขอตอบว่า ใช้เมื่อท่านต้องการสื่อถึง....อย่างจริงใจ ......อย่างซื่อสัตย์ เป็น ad

Realize

พุธ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ “In 1997 Som had to realize all his assets to pay off his debts.” พ.ศ. ๒๕๔๐ สมต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดของตนเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ Realize assets เป็นศัพท์ทางกฏหมายครับ หมายถึง to change properties into money เปลี่ยนทรัพย์สินมาเป็นเงิน Realize ออกเสียงดัดจริตหน่อยว่า ‘รีแอะไลส เป็นกริยา หมายถึง รู้สำนึก รู้ตัว เข้าใจ “Your daughter realizes how hard you work for her education.” บุตรของท่านสำนึกดีว่า ท่านทำงานหนักขนาดไหนเพื่อการศึกษาของเธอ นอกจากนั้น ‘รีแอะไลส ยังหมายถึง ทำให้เป็นจริงขึ้นมา “Owning a tutoring school, being a police officer, travelling the world and studying at famous universities – I had realized all my ambitions by the age of 30.” เป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชา เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร เดินทางท่องเที่ยวเทียวไปในโลก และเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง - ข้าพเจ้าทำความทะเยอทะยานทุกอย่างของข้าพเจ้าสำเร็จได้เมื่ออายุ ๓๐ ปี คนอเมริกันสะกดว่า realize แต่คนอังกฤษใช้ realise พูดศัพท์คำนี้โดยใช้เป็น adjective ก็ไพเราะดีเหมือนกันครั

Top ในบางวลี

พฤหัสบดี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ฝรั่งงุ่นง่านบริษัททัวร์ที่ดูเวลาขึ้นเครื่องผิด แกจึงโทรศัพท์มาหาผมพร้อมทั้งบ่นให้ฟังว่า “I missed the plane to London tonight, and on top of that I have to wait for two days for the next flight.” ไอพลาดเครื่องบินไปกรุงลอนดอน แต่ที่นอกเหนือและแย่ไปกว่านั้นก็คือ ไอต้องคอยอีก ๒ วัน สำหรับเที่ยวบินต่อไป On top of + something อันนี้หมายถึง in addition to + something ส่วนใหญ่จะใช้กับเรื่องที่ไม่ดี ประโยคในพารากราฟข้างบนนั้น ถ้าผมจะเขียนอย่างเยิ่นเย้อก็น่าจะได้ว่า “I missed the plane to London tonight, and on top of missing the plane I have to wait for two days for the next flight.” กรุณาอย่าใส่ the …X…on the top of + something แต่ถ้าเป็น on top of the world อันนี้จะหมายถึง มีความสุขมากจริงๆ หรือ extremely happy ในงานพระราชทานปริญญาบัตร สุดาถูกห้อมล้อมด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนชายชาวอังกฤษถามสุดาว่า “How’re you today?” สุดาตอบว่า “I’m feeling on top of the world now.” คำตอบของสุดก็คือ “I’m feeling extremely happy.” ดิฉันมีความสุขสนุกเป็น

ฟักแฟง แตงโม ไชโยโห่หิ้ว(2)

เราจะมาต่อกันเลยนะครับ กับ ฟัก ภาคสอง คำว่า fucking เรายังสามารถนำพูด เพื่อใช้ในความหมายที่ดีได้เหมือนกันนะครรับ แต่จำไว้ว่า ควรใช้กับตัวเองหรือคที่สนิทสนมจริง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการพูดและการฟัง โดยการเติม f-word ไว้หน้า กริยาของประโยค (มั๊ง) เช่น What are you doing? คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ What the fucking are you doing? เฮ้ย มรึงทำเฮี้ยไรอยู่ว่ะเนี่ย How's beautiful! ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ how's fucking beautiful! แมร่งสวยชิป (ไม่เจอ ; หาย) เลยหว่ะ เป็นต้น

ฟักแฟง แตงโม ไชโยโห่หิ้ว

Fuck Fuck เป็นคำกริยาในภาษาอังกฤษ ที่มีความหมายว่า "การร่วมเพศ" หรืออาจมีความหมายว่าถูกโกง (to be cheated) เช่น "I got fucked by a scam seller" ความหมาย "ฉันถูกพ่อค้าชั่ว ๆ โกง" ถ้าอยู่ในรูปแบบคำนามที่เป็นบุคคล (เช่นเดียวกับคำว่า fucker) จะหมายถึงคู่ที่มีเพศสัมพันธ์ (ไอ้ที่เพิ่งหวดกันนั่นแหล่ะ, อื้มประมาณว่าตู่ที่แอบบ ฮิสกัน ไม่ใช่แฟนตัวจริงก็ได้) ในบางครั้งอาจใช้เป็นคำอุทาน ส่วนคำว่า fucking จะใช้เพื่อเน้นย้ำ คำว่า to fuck อาจใช้เป็นสกรรมกริยาหรืออกรรมกริยา และในบางครั้งใช้เป็นคำประสมเช่น fuck off, fuck up, และ fuck with การใช้ส่วนใหญ่เป็นในรูปแบบของคำหยาบ fuck ยังสามารถมีความหมายถึง วุ่นไปกับ หรือ ทำในสิ่งอยุติธรรมหรือรุนแรง ในบางประโยคอย่างเช่น "don't give a fuck" จะมีความหมายใกล้กับคำว่า "damn" (ห่า) ส่วน "what the fuck" (แมร่ง อะไรนักหนาวะ, แมร่งยุ่งชิปหาย เป็นต้น) เป็นการสบถในสิ่งทีคร่ำเคร่งอยู่ การใช้คำนี้ อาจถูกถือว่าเป็นคำหยาบ บางครั้งจึงมีการเปลี่ยนตัวสะกด หรือปิดบังบางพยัญชนะ เช่น f-ck, f**k, fsck, fcku

ไม่มีอะไรหรอกนะที่ฉันทำไม่ได้ (ทำได้ไม่ดี เก่งทุกเรื่องว่างั้น)

สำหรับ บทความนี้ นาย จูโด้ จะมา แนะนำ คำว่า ไม่มีอะไรหรอกนะที่ฉันทำไม่ได้ (เก่งทุกเรื่องได้อีก) สามารถ ใช้ได้ว่า There is nothing (that) I am bad at. เช่น A : To challenge me in football shows you don't know your place. การมาท้าทายแข่งฟุตบอลฉัน นี่มันแสดงให้เห็นว่า นายนี่มันไม่รู้จักประมาณตนเลยนะ A :How much football experience do you have? มีประสบการณ์แข่งฟุตบอลแค่ไหนกัน ถึงกล้ามาท้าแข่ง (จากนั้นถ้าเราสามารถเอาชนะได้ หรือ ยิง ประตูได้ จนทำให้ A ตกใจ ประหลาดใจ เราสามารถ ตอกกลับไปว่า) B : Sorry, but there is nothing (that) I'm bad at. เสียใจด้วยนะ ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ (ไม่มีอะไรหรอกนะที่ฉันทำได้ไม่ดี (เก่งหมดว่างั้น)) บทความโดย ยศศักดิ์ สุขเกษม