ความท้าทายอย่างหนึ่งของการพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษานั้น คือการเลือกออกเสียงสูงต่ำ
และหนักเบาให้เหมาะสม (Intonation) หลายๆท่านอาจคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษเก่งเป็นพรสวรรค์
หรือความสามารถส่วนบุคคล ซึ่งความเชื่อนี้ถือว่าผิดมหันต์เลยล่ะค่ะ เพราะการพูดภาษาอังกฤษให้ลื่นไหล
และคล่องนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ ทั้งนี้ขอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในการพูดภาษาอังกฤษก่อนว่า
การออกเสียงที่ถูกต้อง รวมถึงการเลือกออกเสียงสูงต่ำที่เหมาะสมนั้น จะทำให้การพูดภาษาอังกฤษของคุณน่าฟัง
น่าเชื่อถือ และเข้าใจความหมายได้ชัดกว่าการพูดเรียบๆให้ทุกคำมีเสียงเท่าๆกัน
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนต้องออกเสียงเน้นหนักหรือเบา หรือ ตรงไหนต้องทอดเสียงสูงหรือต่ำ เรามาดูกัน
ข้อแรก ให้เลือกออกเสียงเน้นหนักในคำนาม แม้ว่ากริยาในประโยคจะมีความสำคัญเท่าไรก็ตาม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (คำที่พิมพ์ตัวหนาคือคำที่ออกเสียงเน้นหนัก)
เช่น Dogs eat bones.
ในประโยคข้างต้นนี้เราจะออกเสียงเน้นหนักที่ Dogs กับ bones ซึ่งเป็นคำนามในประโยคนี้
ซึ่งจะตีความหมายจากการพูดได้ว่า “ หมาน่ะ มันกินแต่กระดูก”
ในทางกลับกันเมื่อแทนที่ด้วยคำสรรพนาม การออกเสียงจะไปเน้นที่ตัวกริยาทันที
เช่น They eat them.
(ก็มันกินน่ะสิ )
การออกเสียงเน้นหนักเบาที่ถูกต้อง จะทำให้ผู้ฟังทราบอารมณ์ของผู้พูด และเดาทิศทางการสนทนาได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆก็มาบอกกันหน้าตาเฉยว่า “หมากินกระดูก” ผู้ฟังอาจจะรู้สึกงง ว่ามาบอกกันทำไม
ข้อที่สอง เมื่อต้องการพูดเกริ่นนำเข้าเนื้อหา
เช่น As we all know, English is very important.
“อย่างที่เราทราบๆกันดีอ่ะนะว่า ภาษาอังกฤษสำคัญมาก”
เราจะพูดโดยขึ้นเสียงสูงในประโยค As we all know, เพื่อเป็นการแนะนำข้อความ “English is very important.”
ดังนั้นคำพูดติดปากที่ว่า You know, …………จึงขึ้นเสียงสูงเสมอค่ะ
และการที่ต้องทอดเสียงให้สูง เพื่อเป็นการแสดงความรู้สึกชวนติดตามให้ผู้ฟัง เหมือนกับคนไทยบอกว่า “นี่เธอ รู้อะไรมั้ย” โดยที่เราจะไม่พูดแบบเฉิ่มๆว่า “ คุณรู้อะไรไหม….”
ข้อที่สาม ในการพูดถึงสิ่งของที่เป็นหมวดหมู่ เราจะขึ้นเสียงสูงทุกคำ ยกเว้นตัวสุดท้าย
เช่น Dogs eat bones, water, and meat.
และข้อสุดท้าย ที่พบบ่อยๆคือ การออกเสียงเน้นหนักในประโยคที่มีคำว่า “can” หรือ “ can’t”
เมื่อใดที่ประโยคต้องการบอกถึงความสามารถ เราจะออกเสียงเน้นหนักที่ตัวกริยา ที่เราทำได้เลย
เช่น I can swim.
แต่เมื่อใดที่เราต้องการบอกปัด ว่าเราทำไม่ได้ การออกเสียงเน้นหนักจะไปอยู่ที่คำว่า can’t ทันทีค่ะ
เช่น I can’t swim.
Intonation หรือ การออกเสียงสูงต่ำ หนักเบาในภาษาอังกฤษจะทำให้คนไทย พูดภาษาอังกฤษเพราะขึ้น เพราะมีหลักการในการลงเสียง มากกว่าการสุ่มเดาเอา ตามหลักเกณฑ์ของตัวเอง
และเป็นที่น่าเสียดายที่คนไทยหลายๆท่านยังคงคิดว่า เรียนภาษาอังกฤษให้พออ่านได้ ฟังรู้เรื่องโดยลืมไปว่า การออกเสียงที่ถูกต้องนั้นแหละจะเป็นตัวเพิ่มศัพยภาพในการฟัง (Listening) เพราะเมื่อเรารู้มาตรฐานเสียงที่จะพูด(Speaking)ได้ถูกต้อง สุดท้ายเราก็จะทราบได้ทันทีว่าต่างชาติท่านที่กำลังสื่อสารอยู่กำลังพูดอะไร และความรู้สึกอย่างไร ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องการออกเสียงทางภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กับการเรียนรู้เรื่องไวยากรณ์ และศัพท์เลยล่ะค่ะ
“A clear conscience is a good pillow.”
(French Proverb)
“การรู้จริงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด”
และหนักเบาให้เหมาะสม (Intonation) หลายๆท่านอาจคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษเก่งเป็นพรสวรรค์
หรือความสามารถส่วนบุคคล ซึ่งความเชื่อนี้ถือว่าผิดมหันต์เลยล่ะค่ะ เพราะการพูดภาษาอังกฤษให้ลื่นไหล
และคล่องนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ ทั้งนี้ขอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในการพูดภาษาอังกฤษก่อนว่า
การออกเสียงที่ถูกต้อง รวมถึงการเลือกออกเสียงสูงต่ำที่เหมาะสมนั้น จะทำให้การพูดภาษาอังกฤษของคุณน่าฟัง
น่าเชื่อถือ และเข้าใจความหมายได้ชัดกว่าการพูดเรียบๆให้ทุกคำมีเสียงเท่าๆกัน
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนต้องออกเสียงเน้นหนักหรือเบา หรือ ตรงไหนต้องทอดเสียงสูงหรือต่ำ เรามาดูกัน
ข้อแรก ให้เลือกออกเสียงเน้นหนักในคำนาม แม้ว่ากริยาในประโยคจะมีความสำคัญเท่าไรก็ตาม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (คำที่พิมพ์ตัวหนาคือคำที่ออกเสียงเน้นหนัก)
เช่น Dogs eat bones.
ในประโยคข้างต้นนี้เราจะออกเสียงเน้นหนักที่ Dogs กับ bones ซึ่งเป็นคำนามในประโยคนี้
ซึ่งจะตีความหมายจากการพูดได้ว่า “ หมาน่ะ มันกินแต่กระดูก”
ในทางกลับกันเมื่อแทนที่ด้วยคำสรรพนาม การออกเสียงจะไปเน้นที่ตัวกริยาทันที
เช่น They eat them.
(ก็มันกินน่ะสิ )
การออกเสียงเน้นหนักเบาที่ถูกต้อง จะทำให้ผู้ฟังทราบอารมณ์ของผู้พูด และเดาทิศทางการสนทนาได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆก็มาบอกกันหน้าตาเฉยว่า “หมากินกระดูก” ผู้ฟังอาจจะรู้สึกงง ว่ามาบอกกันทำไม
ข้อที่สอง เมื่อต้องการพูดเกริ่นนำเข้าเนื้อหา
เช่น As we all know, English is very important.
“อย่างที่เราทราบๆกันดีอ่ะนะว่า ภาษาอังกฤษสำคัญมาก”
เราจะพูดโดยขึ้นเสียงสูงในประโยค As we all know, เพื่อเป็นการแนะนำข้อความ “English is very important.”
ดังนั้นคำพูดติดปากที่ว่า You know, …………จึงขึ้นเสียงสูงเสมอค่ะ
และการที่ต้องทอดเสียงให้สูง เพื่อเป็นการแสดงความรู้สึกชวนติดตามให้ผู้ฟัง เหมือนกับคนไทยบอกว่า “นี่เธอ รู้อะไรมั้ย” โดยที่เราจะไม่พูดแบบเฉิ่มๆว่า “ คุณรู้อะไรไหม….”
ข้อที่สาม ในการพูดถึงสิ่งของที่เป็นหมวดหมู่ เราจะขึ้นเสียงสูงทุกคำ ยกเว้นตัวสุดท้าย
เช่น Dogs eat bones, water, and meat.
และข้อสุดท้าย ที่พบบ่อยๆคือ การออกเสียงเน้นหนักในประโยคที่มีคำว่า “can” หรือ “ can’t”
เมื่อใดที่ประโยคต้องการบอกถึงความสามารถ เราจะออกเสียงเน้นหนักที่ตัวกริยา ที่เราทำได้เลย
เช่น I can swim.
แต่เมื่อใดที่เราต้องการบอกปัด ว่าเราทำไม่ได้ การออกเสียงเน้นหนักจะไปอยู่ที่คำว่า can’t ทันทีค่ะ
เช่น I can’t swim.
Intonation หรือ การออกเสียงสูงต่ำ หนักเบาในภาษาอังกฤษจะทำให้คนไทย พูดภาษาอังกฤษเพราะขึ้น เพราะมีหลักการในการลงเสียง มากกว่าการสุ่มเดาเอา ตามหลักเกณฑ์ของตัวเอง
และเป็นที่น่าเสียดายที่คนไทยหลายๆท่านยังคงคิดว่า เรียนภาษาอังกฤษให้พออ่านได้ ฟังรู้เรื่องโดยลืมไปว่า การออกเสียงที่ถูกต้องนั้นแหละจะเป็นตัวเพิ่มศัพยภาพในการฟัง (Listening) เพราะเมื่อเรารู้มาตรฐานเสียงที่จะพูด(Speaking)ได้ถูกต้อง สุดท้ายเราก็จะทราบได้ทันทีว่าต่างชาติท่านที่กำลังสื่อสารอยู่กำลังพูดอะไร และความรู้สึกอย่างไร ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องการออกเสียงทางภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กับการเรียนรู้เรื่องไวยากรณ์ และศัพท์เลยล่ะค่ะ
“A clear conscience is a good pillow.”
(French Proverb)
“การรู้จริงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด”
เก่งจริงๆค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบยินดีครับผม
ลบ