ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2009

เสียงพยัญชนะท้าย

หลายๆคำที่มีพยัญชนะท้ายจะมีเสียงเบาๆที่ไม่ควรละ เสียง -nd เช่น finding ออกเสียง ฟาย(อืน)ดิ่ง หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟายนิ่ง เสียง -ne เช่น line ออกเสียง ละอิน (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) ต่างจาก lie ออกเสียง ลาย เสียง -le เช่น mobile ออกเสียง โม-บะอิล (สองพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน โม-บึล เสียง -le เช่น file ออกเสียง ฟะอิล (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟาว ต่างจาก fine ออกเสียง ฟาย(อืน) หรือ fire ออกเสียง ฟายเออ

เสียงท้าย -s, -es, -ed

-s ก็ตามด้วย เสียง s ปกติ คือ ลากเสียง s ออกไปตอนจบประโยค -es เจ้าของภาษาจะออกเสียง /อิส/ แต่ตามความคุ้นเคยของคนไทยมักออกเสียงชัดเจนว่า /เอส/ อย่างเช่น boxes -- บ้อกซิส (เจ้าของภาษา) บ๊อกเซส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย) glasses -- แกล็สซิส (เจ้าของภาษา) กลาสเสส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย) -ed อันนี้มีสองแบบ ถ้าตามด้วย ตัว T หรือ D จะเสียง /เอ๊ด/ หรือ /อึ๊ด/ แต่ถ้าไม่ใช่ให้ ออกเสียง /เดอะ/ reloaded -- รีโหลดดิด (เจ้าของภาษา) ลีโล้ดเด๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย) wanted -- ว้อนถิด (เจ้าของภาษา) ว้อนเต๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย) notified -- ก็ไม่มีเสียง ed แต่จะมีเสียง d ในลำคอ

เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค

เสียงสูงต่ำท้ายประโยคขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค โดย ประโยคธรรมดา ลงเสียงต่ำ I like coffee ลงเสียงต่ำที่คำว่า coffee อ่าน คอป-ฟี ประโยคคำถาม ที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ขึ้นเสียงสูง (รวมถึงประโยคที่เป็น tag question) Do you like coffee? ขึ้นเสียงสูงตรงคำว่า cofee อ่าน คอป-ฟี้ ประโยคคำถาม ที่ถามหาคำตอบ ลงเสียงต่ำ What do you like ? ลงเสียงต่ำตรงคำว่า like อ่าน ไหลค์ สำหรับประโยคเดียวกัน ที่ออกเสียงต่างกัน จะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น Do you like tea or coffee? ถ้าพูด คำว่า coffee ลงเสียงต่ำ ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟ (โดยให้เลือกเอา)" ถ้าพูด คำว่า coffee ขึ้นเสียงสูง ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟไหม (โดยถามว่า เอาหรือไม่เอา)

เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค

เสียงสูงต่ำท้ายประโยคขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค โดย ประโยคธรรมดา ลงเสียงต่ำ I like coffee ลงเสียงต่ำที่คำว่า coffee อ่าน คอป-ฟี ประโยคคำถาม ที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ขึ้นเสียงสูง (รวมถึงประโยคที่เป็น tag question) Do you like coffee? ขึ้นเสียงสูงตรงคำว่า cofee อ่าน คอป-ฟี้ ประโยคคำถาม ที่ถามหาคำตอบ ลงเสียงต่ำ What do you like ? ลงเสียงต่ำตรงคำว่า like อ่าน ไหลค์ สำหรับประโยคเดียวกัน ที่ออกเสียงต่างกัน จะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น Do you like tea or coffee? ถ้าพูด คำว่า coffee ลงเสียงต่ำ ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟ (โดยให้เลือกเอา)" ถ้าพูด คำว่า coffee ขึ้นเสียงสูง ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟไหม (โดยถามว่า เอาหรือไม่เอา)

เสียงเชื่อม (Linking)

เสียงเชื่อมเป็น เสียงต่อเนื่อง ระหว่างคำที่อ่านต่อเนื่องกัน โดยเสียงสะกดของคำแรก จะออกเสียงต่อเนื่องมาเป็นเสียงพยัญชนะต้นของคำที่สอง ตัวอย่างเช่น It's a book - จะออกเสียงเหมือน /its-sa-book/ อ่าน อิทซ์-ซะ-บุ้ค ไม่ใช่ อิทซ์-อะ-บุค Can you add a poll? - จะออกเสียงเหมือน /can-you-add-da-poll/ อ่าน แคน-ยู-แอด-ดะ-โพล โดยคำว่า อะ จะออกเสียงเป็น ดะ เนื่องจากเสื่องเชื่อมจากคำสะกดของคำหน้า Weekend - จะออกเสียงเหมือน /week-kend /อ่าน วีคเค็นด์ โดยคำว่า เอ็นด์ จะออกเสียงเป็น เค็นด์ เนื่องจากเสื่องเชื่อมจากคำสะกดของคำหน้า L.A. - จะออกเสียงเป็น /L-la /อ่าน แอว เล ไม่ใช่ แอว เอ Vineyard (ไร่องุ่นทำไวน์) - จะออกเสียงเป็น /Vin-neard/อ่าน ฝวินเนียร์ด ไม่ใช่ วายยาด bald eagle (นกอินทรีย์หัวขาว) - จะได้ยินเป็น /bal-dea-gle/ บอว์ ทีเกิ้ล หรือ บอว์ ดีเกิ้ล

การเน้นเสียงในประโยค

ในประโยคจะมีการเน้นเสียงหลายจุด ยกเว้นคำที่เป็น pronoun และ preposition และคำท้ายสุดของประโยคจะมีการเน้นเสียงหนักสุด ที่เรียกว่า เสียงเน้นหลัก(Primary Stress) เช่น If you don't want to add a poll to your topic. If you don't want to add a poll to your topic. I don't think that control is in OPEC's hands. อ่านเป็น I don't think that control is in OPEC's hands.

เทคนิคเพิ่มความเร็วในการอ่านภาษาอังกฤษ

จากการเคยทำข้อสอบเกี่ยวกับ ส่วนของ reading ที่เราเคยกลัวและคิดว่าเป็นเรื่องยาก แต่เราได้เทคนิดดี ๆ มาฝาก เริ่มจากการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการอ่าน จากที่เคยอ่านแบบละเอียดแปลทุกข้อความ หรือคิดว่าต้องรู้ศัพท์ทุกตัวจึงจะทำข้อสอบหรืออ่านได้ดี แต่เป็นการคิดผิด ความจริงไม่จำเป็นเลยที่ต้องเข้าใจคำศัพท์ทุกตัว เทคนิคการอ่านจับใจความด้วยเวลาที่รวดเร็วสรุปแล้วสำหรับเรามีหลักอยู่ 5 ข้อ 1. ขั้นแรกถ้าในการทำข้อสอบ เราต้องเริ่มที่คำถาม เพราะว่าในการสอบอ่านตั้งมากมายเพื่อมาตอบคำถามเพียง 4-5 คำถาม ดังนั้นเราควรตรวจสอบคำถามก่อน ทำให้ลดขอบเขตที่ต้องสนใจหรือจับใจความสำคัญลดลง 2. หลังจากตรวจสอบคำถาม เราก็มาเริ่มอ่านโดยอ่านอย่างรวดเร็ว และอ่านรวดเดียวจนจบเรื่อง อย่าพยายามกลับมาอ่านประโยคที่อ่านผ่านไปแล้ว เพราะมันจะทำให้เรางง และก็งง 3. อย่าสะดุดนะเมื่อเจอคำศัพท์ที่ตนไม่รู้ นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนส่วนมาก รวมทั้งเราที่เป็นหนึ่งในนั้น มันไม่จำเป็นเลยที่เราต้องรู้ความหมายของศัพท์ทุกตัว เพราะสามารถเดาความหมายได้จากบริบทคำแวดล้อมได้ จะได้ลองหัดเดาคำศัพท์ด้วยไง 4. จินตนาการ เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะบางที่ทำให

วิธีการอ่านภาษาอังกฤษ ลึกแต่ไม่ลับ

อ่านไปก็ไม่ได้ช่วยให้เรารู้รายละเอียดอะไรส่วน trasureหมายถึงคำชึ่งเป็น key word(s)หรือคำที่สำคัญของประโยคปัญหาอยู่ที่ว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหน เป็น trash ขยะที่เราต้องคัดที้งแล้วคำไหนเป็น trasure ขุมทรัพย์ ที่เราต้องเก็บเอาไว้ กฤในการเลือกเป็น trasure ขุมทรัพย์สกัดเฉพาะตัวที่เป็น trasure ขุมทรัพย์ คือ เลือกอ่านแต่คำที่มีบทบาทสำคัญในแต่ละประโยคชึ่งก็คือ noun คำนาม เช่น radio, soldier, atom,oxygen,art,monk เป็นต้น....... - verb กริยา เช่น stand, insist, describe,cry,take,explain เป็นต้น ........ -adj คำขยายคำนาม small,heavy, blue, anxiety, huge, kind........ -คำที่ขยายคำประเภทอื่นๆที่ไม่ใช่คำนาม beautiful, harly,unfortunately ส่วนคำอื่นๆที่ไม่มีความสำคัญ ตัดที้งไปไม่ต้องสนใจ เช่น article a, an ,the preposition เช่น in , on, un, of ,at = การใช้เทคนิคการอ่านแบบ trash&trasure สามานถอ่านจับประเด็นได้ดีขึ้นถ้าไม่เชื่อต้องลองอ่านด้วยตัวเองแล้วจะรุ้ trash ขยะ ไม่สำคัญ trasure ขุมทรัพย์ สำคัญ

การเน้นเสียง (stressing)

การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษทำได้โดยการทำให้เสียงดังขึ้น หรือทำให้เสียงสูงขึ้น ลิงก์เชื่อมโยง=== การเน้นเสียงของคำ === คำศัพท์แต่ละคำ จะมีการเน้นเสียงในแต่ละที่ ขึ้นอยู่กับคำ สามารถตรวจสอบได้โดยการเปิดดิกชันนารี ตัวอย่างเช่น (ตัวใหญ่คือเสียงที่เน้น) decade --/OP-tion/ เสียงเหมือน อ้อป-ชัน canal -- /ca-NAL/ เสียงเหมือน คะ-แนล (ลากเสียง แนล) deposit -- /de-PO-sit/ เสียงเหมือน ดิ-พ้อ-สิท spaghetti --/spa-GHET-ti/ สเปอะ-เก๊ต-ทิ อันนี้แปลกหน่อย เน้นตัวที่สาม

อักษรเงียบ (Silent Letters) 1

คำในภาษาอังกฤษมากกว่า 60% มีตัวอักษรที่ไม่ออกเสียง หรือ อักษรเงียบ (อังกฤษ:Silent Letters) ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของตัวอักษรในคำต่างๆ ที่ไม่ต้องออกเสียง A ea- เช่น treadle (เทร็ดเดิล) bread (เบร็ด) thread (เธร็ด) คำที่ลงท้ายด้วย -cally ทั้งหลาย (ซึ่ง al จะไม่ออกเสียง) เช่น technically (เทค-นิค-ลี) logically (ลอ-จิค-ลี) politically (โพ-ลิ-ติค-ลี) B -mb เช่น lamb (แลม) bomb/bomber (บอม/บอมเมอร์) comb (คม) numb (นัม) thumb (ธัม) tomb (ทูม)plumb/plumber พลัม/พลัมเมอร์ -bt เช่น debt (เด็ท) doubt (เดาท์) subtle (ซัทเทิล) C sc- เช่น scissors (ซิสเซอร์ส) science (ไซแอนซ์) scent (เซนท์) muscle (มัสเซิล) คำอื่นๆ เช่น acquit (อะควิท) acquire (อะไควร์) czar (ซา/ซาร์) yacht (ย็อท/ย้าท)victual (วิทัล ) indict/indictable (อินไดท์/อินไดเทเบิล) Tucson (ทูซอน) Connecticut (คอนเนทิคัท) D -dg- เช่น edge (เอ็จ) bridge (บริจ) ledge (เล็จ) -nd- เช่น handkerchief (แฮงเคอชิฟ) handsome (แฮนซัม) landscape (แลนสเกป) sandwich (แซนวิช) Windsor (วินเซอร์) รวมทั้ง grand ต่างๆ ที่เป็นปู่ย่าตายาย เช่น grandma

เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ

เสียงพยัญชนะที่ยากต่อการออกเสียงของคนไทยคือ CH, G, L, R, S, SH, TH, V, W, X, และ Z เสียงพยัญชนะส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้ B -- บ ใบไม้ เช่น boy บอย C -- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้ --CA, CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์ --CE, CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์ --SC -- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา อย่างไรก็ตาม มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด D -- ด เด็ก เช่น dog F -- ฟ ฟัน เช่น fun G -- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์ -- GA, GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส, get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน -- GI - ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic ไจแกนติค H -- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ นกฮูก เช่น hello เฮลโล J -- จ จ

อักษรเงียบ (Silent Letters)

คำในภาษาอังกฤษมากกว่า 60% มีตัวอักษรที่ไม่ออกเสียง หรือ อักษรเงียบ (อังกฤษ:Silent Letters) ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของตัวอักษรในคำต่างๆ ที่ไม่ต้องออกเสียง A ea- เช่น treadle (เทร็ดเดิล) bread (เบร็ด) thread (เธร็ด) คำที่ลงท้ายด้วย -cally ทั้งหลาย (ซึ่ง al จะไม่ออกเสียง) เช่น technically (เทค-นิค-ลี) logically (ลอ-จิค-ลี) politically (โพ-ลิ-ติค-ลี) B -mb เช่น lamb (แลม) bomb/bomber (บอม/บอมเมอร์) comb (คม) numb (นัม) thumb (ธัม) tomb (ทูม)plumb/plumber พลัม/พลัมเมอร์ -bt เช่น debt (เด็ท) doubt (เดาท์) subtle (ซัทเทิล) C sc- เช่น scissors (ซิสเซอร์ส) science (ไซแอนซ์) scent (เซนท์) muscle (มัสเซิล) คำอื่นๆ เช่น acquit (อะควิท) acquire (อะไควร์) czar (ซา/ซาร์) yacht (ย็อท/ย้าท)victual (วิทัล ) indict/indictable (อินไดท์/อินไดเทเบิล) Tucson (ทูซอน) Connecticut (คอนเนทิคัท) D -dg- เช่น edge (เอ็จ) bridge (บริจ) ledge (เล็จ) -nd- เช่น handkerchief (แฮงเคอชิฟ) handsome (แฮนซัม) landscape (แลนสเกป) sandwich (แซนวิช) Windsor (วินเซอร์) รวมทั้ง grand ต่างๆ ที่เป็นปู่ย่าตายาย เช่น grandma

เสียงสระในภาษาอังกฤษ

สระในภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้ ee -- เสียงอี เช่น ฟีด feed i -- เสียงอิ เช่น ฟิน fin i -- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่ a_e -- เสียง เอ เช่น เฟด fade e -- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed a -- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad u -- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup o -- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop oo -- boot เสียงสระอู ull -- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู o_e -- bone เสียง โอ i_e -- fine เสียง ไอ oi -- coin เสียง ออย ou -- round เสียง อาว นอกจากนี้ สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น come -- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่ มาจากคำว่า cume dove -- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ entree -- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส hors d'œuvre – ออร์เดิร์

เสียงแทรก E (Hidden E)

ในภาษาอังกฤษ คำที่ประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัวซึ่งตัวที่สองเป็นตัวอักษร E จะมีการแทรกตัวอักษร E เข้าไปข้างหลังอีก be - อ่านว่า บี เหมือน /bee/ me - อ่านว่า มี เหมือน /mee/ คำที่มาจากภาษาญี่ปุ่น ที่ออกเสียง เอะ จะมีการอ่านออกเสียงผิด ในอเมริกา เช่นคำว่า karaoke - คนอเมริกันจะอ่านเป็น คาราโอคี เหมือน karaokee ซึ่งต้องอ่านเป็น คาราโอเกะ sake - คนอเมริกันจะอ่านเป็น ซาคี เหมือน sakee ซึ่งต้องอ่านเป็น สาเก pokemon - คนอเมริกันจะอ่านเป็น โปกีมอน เหมือน pokeemon ซึ่งต้องอ่านเป็น

เสียงแทรก Y (Invisible Y)

เสียงแทรก Y เป็นเสียงหลักที่ ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน แตกต่างจาก ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ สำหรับตัวอักษร D, N, S, T, X คำที่ออกเสียง อู หลายคำจะมีเสียง Y แทรกในขณะที่ออกเสียง เช่น university -- อ่านว่า /ยูนิเวอร์ซิตี้/ ไม่อ่านว่า อูนิเวอร์ซิตี้ value -- อ่านว่า Valyue อ่านว่า /แวล ยู/ หรือควบเป็น /แวลิว/ ฟัง เสียงคำว่า Value vacuum -- vacyuum /แวค คยูม/ hue -- hyue /ฮิว/ cute -- cyute /คิวท์/ แต่จะมีตัวยกเว้น ตัว J jewelry -- จูว์ล์รี่ jew -- (คนชาวยิว) อ่านว่า ยู /joo/ ไม่ใช่ /jyoo/ ยิว แล้วตัวยกเว้นอีก คือถ้าเป็นอังกฤษอังกฤษ จะมี เสียง Y แต่ถ้า อเมริกันอังกฤษ จะไม่แทรกเสียง D, N, S, T, X Mountain Due -- ... ดู /doo/ [Am] ดิว /dyue/ [Br] news -- นูส์ /nooz/ [Am] /nyews/ [Br] เสียงคำว่า News อ่านแบบอเมริกัน tube -- ทูบ [Am] ทิวบ์ [Br] institute -- อินสติตูท [Am] Instityuteอินสติติวท์ [Br] student -- สตูเดนท์ [Am]สติวเดนท์ [Br]

หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ

หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ๑. สระ ให้ถอดตามการออกเสียงในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ โดยเทียบเสียงสระภาษาไทยตามตารางเทียบเสียงสระภาษาอังกฤษ ๒. พยัญชนะ ให้ถอดเป็นพยัญชนะภาษาไทยตามหลักเกณฑ์ในตารางเทียบพยัญชนะภาษาอังกฤษ ๓. การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต ๓.๑ พยัญชนะตัวที่ไม่ออกเสียงในภาษาไทย ให้ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับไว้ เช่น horn = ฮอร์น Windsor = วินด์เซอร์ ๓.๒ คำหรือพยางค์ที่ตัวสะกดมีพยัญชนะตามมาหลายตัว ให้ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาต ไว้บนพยัญชนะที่ไม่ออกเสียงตัวสุดท้ายแต่เพียงแห่งเดียว เช่น Okhotsk = โอค็อตสก์ Barents = แบเร็นตส์ ๓.๓ คำหรือพยางค์ที่มีพยัญชนะไม่ออกเสียงอยู่หน้าตัวสะกด ที่ยังมีพยัญชนะตามหลังมาอีก ให้ตัดพยัญชนะที่อยู่หน้าตัวสะกดออก และใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตไว้บนพยัญชนะตัวสุดท้าย เช่น world = เวิลด์ quartz = ควอตซ์ Johns = จอนส์ first = เฟิสต

Intonation

ความท้าทายอย่างหนึ่งของการพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษานั้น คือการเลือกออกเสียงสูงต่ำ และหนักเบาให้เหมาะสม (Intonation) หลายๆท่านอาจคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษเก่งเป็นพรสวรรค์ หรือความสามารถส่วนบุคคล ซึ่งความเชื่อนี้ถือว่าผิดมหันต์เลยล่ะค่ะ เพราะการพูดภาษาอังกฤษให้ลื่นไหล และคล่องนั้นเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ ทั้งนี้ขอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในการพูดภาษาอังกฤษก่อนว่า การออกเสียงที่ถูกต้อง รวมถึงการเลือกออกเสียงสูงต่ำที่เหมาะสมนั้น จะทำให้การพูดภาษาอังกฤษของคุณน่าฟัง น่าเชื่อถือ และเข้าใจความหมายได้ชัดกว่าการพูดเรียบๆให้ทุกคำมีเสียงเท่าๆกัน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนต้องออกเสียงเน้นหนักหรือเบา หรือ ตรงไหนต้องทอดเสียงสูงหรือต่ำ เรามาดูกัน ข้อแรก ให้เลือกออกเสียงเน้นหนักในคำนาม แม้ว่ากริยาในประโยคจะมีความสำคัญเท่าไรก็ตาม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (คำที่พิมพ์ตัวหนาคือคำที่ออกเสียงเน้นหนัก) เช่น Dogs eat bones. ในประโยคข้างต้นนี้เราจะออกเสียงเน้นหนักที่ Dogs กับ bones ซึ่งเป็นคำนามในประโยคนี้ ซึ่งจะตีความหมายจากการพูดได้ว่า “ หมาน่ะ มันกินแต่กระดูก” ในทางกลับกันเมื